บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สมมุติสัจจะเป็นจริงอย่างไร

ผู้เขียนขออธิบายสมมุติสัจจะที่เป็นความจริงให้เห็นดังนี้คือ เรื่องเวลา  เวลาเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา ตอนนี้ก็ใช้ตามมาตรฐานกรีนิช  แต่จะเห็นได้ว่า เวลานั้นเป็นความจริง สามารถนำมาใช้งานได้จริง เพราะ เมื่อเรานัดกับเพื่อนว่า จะเป็นเจอกันกี่โมง เมื่อเราไปตามนัดเราก็จะเจอเพื่อน

ถ้าเรื่องสมมุติไม่จริง ตามที่พุทธวิชาการยืนยัน เราก็ไม่มีทางที่จะพบเพื่อนได้

ขอยกตัวอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์สักนิด

กระสวยอวกาศ ยานอวกาศ หรือดาวเทียมต่างๆ นักวิทยาศาสตร์สามารถส่งขึ้นไปทำงานตามความต้องการได้ และกลับมายังโลกได้อย่างถูกต้อง ตรงกับเวลาที่กำหนดไว้ 

ถ้าเวลาอันเป็นของสมมุติ เป็นเรื่องไม่จริง ยานอวกาศก็จะไปไม่ถึงจุดหมายหรือกลับมาโลกไม่ได้แน่

ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งก็คือ ค่าของเงินในธนบัตร  จะเห็นว่า ธนบัตรต่างๆ ขนาดกระดาษก็เท่าๆ กัน  กระดาษก็เป็นชนิดเดียวกัน  เมื่อกำหนดค่าโดยสมมุติให้ไปแล้ว กลับมีค่าที่แตกต่างกันไป 

ธนบัตรใบละ 500 บาท กับธนบัตรใบละ 1000 บาท เมื่อนำไปซื้อสินค้าก็ได้ปริมาณและคุณค่าของสินค้าที่แตกต่างกันไป  ถ้าเรื่องสมมุตินี้ไม่จริง  เราจะใช้เงินไปซื้อของได้อย่างไร  พ่อค้าแม่ค้ากับคนซื้อของคงทะเลาะกันตาย

โดยสรุป

คำว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”นั้น ไม่จำเป็นจะต้องนำมาใช้อธิบายศาสนาพุทธเลย เพราะ เรามีคำเพียงพอที่จะอธิบายแล้ว มีคำคู่นี้เข้ามา  สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับศาสนาพุทธมากกว่าที่จะสร้างประโยชน์

การที่พุทธวิชาการนำเข้ามาเพราะต้องการจะอธิบายให้ศาสนาพุทธมีเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน อันเป็นความเชื่อส่วนตน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ

สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ส่งผลยังไง

ผลเสียของคำอธิบายประเด็นที่เกี่ยวกับ “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ของพุทธวิชาการส่งผลเสียได้หลายระดับ ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม

คำอธิบายของพุทธวิชาการกลุ่มนี้ ทำให้คนไทยที่ได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียน เข้าใจผิดไปว่า  กรรมไม่มีจริง  กรรมไม่สามารถส่งผลได้จริง  นรก สวรรค์ไม่มีจริง

คนที่เชื่อเรื่องทำนองนี้ เป็นคนโง่ ไม่มีเหตุผล  นอกจากสร้างความแตกแยกทางด้านความคิดให้กับคนในสังคมแล้ว  นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ โกงกินกันอย่างไม่กลัวบาปกรรม

จนประเทศไทยติดอันดับ ประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นระดับต้นของโลก ก็เพราะ คำอธิบายของพุทธวิชาการพวกนี้นี่แหละ

ระบบคุณธรรม/จริยธรรม/ศีลธรรมของสังคมไทย  คนชั้นกลางที่ได้รับการศึกษาจากระบบโรงเรียนไม่มีใครปฏิบัติ  รู้ไว้เพียงเพื่อประดับความรู้ เพราะ คำอธิบายของพุทธวิชาการดังกล่าวได้ทำลายรากฐานระบบคุณธรรม/จริยธรรม/ศีลธรรมของสังคมไทยลงไป  โดยพุทธวิชาการคิดว่า ระบบคุณธรรม/จริยธรรมของสังคมตะวันตกจะเข้ามาทดแทนได้

แต่คนไทย ก็คือ คนไทย  ระบบคุณธรรม/จริยธรรมแบบสังคมตะวันตก ไม่เหมาะสมกับคนไทย  ไม่สามารถทำให้คนไทยเป็นคนดีของสังคมได้  จะเห็นได้ว่า สังคมไทยมีการสั่งสอนคุณธรรม/จริยธรรมแทบทุกอณูของวัฒนธรรม

เพลงก็มี หนังสือเรียนก็มี รายการโทรทัศน์ก็มี ลิเก ลำตัด ฯลฯ ก็มี แต่ระบบคุณธรรม/จริยธรรมของคนไทยยุคใหม่ก็ไม่ได้ดีขึ้น  จนกระทั่งรัฐบาลถึงกับต้องตั้งศูนย์คุณธรรม (Moral center) ขึ้นมา

ที่น่าตกใจมากก็คือ ถ้าความเข้าใจดังกล่าวนั้น จำกัดอยู่ในขอบเขตเฉพาะของพุทธวิชาการก็ยังจะพอรับกันได้ เพราะ พุทธวิชาการส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติธรรมกันอยู่แล้ว แต่ความเข้าใจผิดดังกล่าวนั้น แทรกซ้อนเข้ามาทำให้สายปฏิบัติธรรม 2 สาย คือ สายพอง-ยุบกับสายนาม-รูป ตีความศาสนาพุทธผิดไปด้วย

สายพอง-ยุบกับสายนาม-รูป ซึ่งมีต้นสายมาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระภิกษุชาวพม่า จะอธิบายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในภพสามนี้ไม่จริงทั้งหมด เพราะ เป็นสมมุติบัญญัติ/สมมุติสัจจะ  แต่ จิต เจตสิก รูป นิพพานเป็นจริง เพราะ เป็นปรมัตถบัญญัติ/ปรมัตถสัจจะ

มีความเข้าใจผิดเท่านั้น ยังไม่พอ  ถึงกับไปดูถูกสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ ว่า เป็นแค่สมถกรรมฐาน  การปฏิบัติธรรมของพระพม่าเป็นวิปัสสนา ดีเลิศประเสริฐศรีที่สุด 

เมื่อคิดวิธีปฏิบัติธรรมแบบใหม่ขึ้นมาได้ คือ การพิจารณาความเป็นไปของรูปและจิตในปัจจุบัน จากอาการพองยุบของท้องที่เกิดจากลมหายใจ  แล้วถูกโจมตีจากพระภิกษุชาวพม่าด้วยกัน จึงจับยัดเข้าไปว่า การปฏิบัติธรรมที่ท่านคิดขึ้นนั้นเป็นสติปัฏฐาน 4 และเป็นวิปัสสนากรรมฐาน

ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ การพิจารณาความเป็นไปของรูปและจิตในปัจจุบัน จากอาการพองยุบของท้องที่เกิดจากลมหายใจ รวมถึงการเดินจงกรมสามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้

ในความเป็นจริงแล้ว การพิจารณาความเป็นไปของรูปและจิตในปัจจุบัน จากอาการพองยุบของท้องที่เกิดจากลมหายใจ รวมถึงการเดินจงกรมเป็นสติปัฏฐาน 4 นั้นเป็นความจริงที่ยอมรับได้  แต่การปฏิบัติธรรมเช่นนั้นไม่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เป็นแต่เพียงสมถกรรมฐานแบบใหม่ที่คิดขึ้นเท่านั้น

ประการสำคัญก็คือ การปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้

ผลเสียที่ร้ายแรงก็คือ คนที่ไปหลงเชื่อศรัทธา แทนที่จะทำความดีและปฏิบัติธรรมได้มากกว่านั้น เท่าที่เกิดมายุคหนึ่ง ก็ไม่ได้ความดีที่ควรจะเป็น

ความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ ไปเชื่ออะไรกับพระพม่า ไปเชื่ออะไรกับของนำเข้า  พระภิกษุชาวไทยมีตั้งมากมาย ทำไมไม่เชื่อ...........

เราจะทำอย่างไรดีกับมโนทัศน์ “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ

ผมมีข้อแนะนำดังนี้

1) ก็อย่าไปเชื่อ เพราะ ไม่ใช่คำดั้งเดิมของพุทธเถรวาท  คำดั้งเดิมของพุทธเถรวาทเรา เช่น เช่น สมมุติบัญญัติ-ปรมัตถบัญญัติ สังขตธรรม-อสังขตธรรม สังขตธาตุ-อสังขตธาตุ วิราคธาตุ-วิราคธรรม โลกียะ-โลกุตระ อริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท ฯลฯ เป็นต้น ก็เพียงพอแล้ว ในการสั่งสอนพุทธศาสนิกชน 

ไม่เห็นจำเป็นอะไรที่จะต้องนำคำว่า สมมุติสัจจะ-ปรมัตถสัจจะเข้ามาอธิบายศาสนพุทธเถรวาทอีก ก็อ่านไปเล่นๆ เพื่อความประเทืองปัญญาว่า  คนคิดผิดแบบนี้ก็มี

2)  ถ้าต้องการจะเชื่อ หรือเห็นว่า การนำเอาคำขององค์ความรู้อื่นๆ มาอธิบายและตีความศาสนาพุทธเถรวาทบ้าง อาจจะทำให้องค์ความรู้ของพุทธเราแตกฉานขึ้นไปอีก  ก็ควรใช้ให้ถูกหลักเกณฑ์ตามหลักภาษาศาสตร์ ไม่ใช่อธิบายให้ผิดเพี้ยนไปตามความเชื่อของตน

โดยสรุป
จากที่เขียนมาทั้งหมด จะเห็นว่า “สมมุติสัจจะ” กับ“ปรมัตถสัจจะ”ไม่ใช่คำดั้งเดิมในศาสนาพุทธเถรวาท  คำดั้งเดิมของพุทธเถรวาทคือ สมมุติบัญญัติ-ปรมัตถบัญญัติ ซึ่งก็เป็นจริงทั้งคู่ ไม่ใช่ว่า สมมุติบัญญัติไม่จริง แต่ปรมัตถบัญญัติเป็นจริง

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มโนทัศน์เรื่อง “สมมุติสัจจะ” กับ“ปรมัตถสัจจะ”ไม่มีในพระไตรปิฎก เถรวาท  พุทธวิชาการนำเข้ามาเพื่ออธิบายศาสนาพุทธให้เป็นวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก ซึ่งถูกโค่นไปเรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งแล้วโดยฟิสิกส์ใหม่..



สมมุติสัจจะ ปรมัตถ์สัจจะต้องจริงทั้งคู่

คำอธิบาย “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ของพุทธวิชาการผิดพลาดอย่างไร

คำว่า ปรมัตถบัญญัติของพุทธเถรวาท ซึ่งมี 4 ประเภท คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน อธิบายกันอย่างซื่อตรง 

ก็ควรจะอธิบายได้ว่า จิต เจตสิก รูปเป็นสังขตธรรม ยังมีปัจจัยปรุงแต่งอยู่  ส่วนนิพพานเป็น อสังขตธรรม ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว

สมมุติบัญญัติ เป็นการตั้งชื่อเรียกกับสิ่งของที่มีในภพ ๓  เป็นความจำเป็นทางภาษา ถ้าไม่อย่างนั้น ก็สื่อสารกันไม่ได้ 

ส่วน ปรมัตถบัญญัติจิต เจตสิก รูป นิพพาน” นั้น เป็นคำอธิบายสิ่งที่เป็นพื้นฐานลึกที่สุด  ในส่วนที่เป็นสังขตธรรม ยังมีปัจจัยปรุงแต่งอยู่ ก็คือ จิต เจตสิก รูป 

สำหรับส่วนที่เป็นอสังขตธรรม ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็มี นิพพาน คำเดียว

ถ้าเปรียบเทียบกับกลศาสตร์ควอนตัมของฟิสิกส์ใหม่ก็น่าจะเป็น ควาร์ก (Quark) แต่จะเป็นควาร์กประเภทไหน อัพควาร์ก (Up Quark) ดาวน์ควาร์ก (Down Quark) บัตทอมควาร์ก (Bottom Quark) และอื่นๆ อีก ก็ว่ากันไป

แทนที่จะอธิบายกันอย่างซื่อตรง พุทธวิชการกลุ่มนี้ กลับอธิบายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในภพสามนี้ ไม่จริงทั้งหมด เพราะเป็น “สมมุติสัจจะ” สิ่งที่เป็นจริงมีเพียง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน เพราะเป็น “ปรมัตถสัจจะ”เท่านั้น

พ่อ แม่ พี่ น้อง เทวดา ดิน ฟ้า อากาศ ไม่จริงทั้งหมดทั้งสิ้น

ข้อความที่พุทธวิชาการใช้อธิบายที่พบเห็นได้โดยทั่วไปก็เช่น สภาวะของพ่อแม่ลูกนี้เป็นความจริงโดยสมมุติ หรือเป็นสมมุติสัจจะ เมื่อพิจารณากันในทางความจริงแท้หรือปรมัตถสัจจะแล้วไม่เป็นความจริง เป็นต้น

ข้อความที่อธิบายดังกล่าวนั้น ผิดพลาดคลาดเคลื่อนโดยสิ้นเชิง โดยผมมีคำอธิบายประกอบดังนี้

1) จากหลักการของทางภาษาศาสตร์

ด้านโครงสร้างของคำ
คำว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”เมื่อพิจารณาด้านโครงสร้างของคำแล้ว พบว่า สัจจะเป็นคำนามหลัก  แล้วนำคำว่า สมมุติกับ ปรมัตถมาขยายจึงเกิดเป็น 2 คำขึ้นมา 

ดังนั้น แกนหลักในด้านความหมายของคำ อยู่ที่คำว่า สัจจะ

ความหมายในทางภาษาศาสตร์ของคำว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ต้องเป็นความจริงทั้งคู่

โดยเป็นความจริงโดยสมมุติประเภทหนึ่ง และเป็นความจริงโดยปรมัตถอีกประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ว่า ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงแท้  ส่วนสมมุติสัจจะคือ ความไม่จริง

บางท่านดูโครงสร้างของคำแล้ว อาจจะโต้แย้งในใจได้ว่า คำว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”นั้น  คำว่า สมมุติกับปรมัตถ น่าจะเป็นคำหลัก และนำเอาคำว่า สัจจะเข้ามาขยาย เพราะ โครงสร้างของคำในภาษาไทยนั้น คำขยายอยู่หลังคำหลัก เช่น บ้านใหญ่ เป็นต้น  คำว่า ใหญ่เป็นคำขยาย

ในฐานะที่เป็นนักภาษาศาสตร์และเป็นครูภาษาไทยขออธิบายในหลักการของวิชาภาษาต่างประเทศในภาษาไทยว่า คำภาษาต่างประเทศที่เข้ามาในภาษาไทยนั้น อาจจะเข้ามาด้วยการแปล หรือคำทับศัพท์ก็ได้

เช่น คำว่า football นี้ เมื่อแรกเข้ามา เราแปลว่า หมากแข้งคงไปเลียนแบบคำว่า หมากเก็บ”, “หมากรุก”  แค่คนไทยไม่นิยมใช้ เลยต้องมาใช้การทับศัพท์ว่า ฟุตบอล”  จนติดตลาดมาจนถึงทุกวันนี้

คำว่า โทรเลขซึ่งไปรษณีย์หยุดบริการไปแล้วนั้น มาจากคำว่า “telegram”  ซึ่งแต่แรกเราใช้การทับศัพท์ว่า ตะแล็บแก๊บถึงแม้จะเป็นการทับศัพท์ที่ฝรั่งก็ฟังไม่ออก ก็ได้รับความนิยมใช้อยู่ยุคหนึ่ง  จนมาถึงคำแปลว่า โทรเลข

คำว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”นั้น เราก็รับมาโดยการทับศัพท์เช่นเดียวกัน มีนักวิชาการใช้คำภาษาไทยในความหมายของคำทั้งสองว่า ความจริงโดยสมมุติและความจริงโดยปรมัตถ์

ด้านความหมายของคำ
คำว่าสมมุตินี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 กล่าวว่าเขียนได้ 3 แบบคือ สมมต, สมมติ, และสมมุติ และให้ความหมายไว้ดังนี้

ก. รู้สึกนึกเอาว่า เช่น สมมติให้ตุ๊กตาเป็นน้อง
ว. ที่ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย โดยไม่คำนึงถึงสภาพที่แท้จริง เช่น สมมติเทพ

ความหมายนั้นของคำว่า สมมุติดังกล่าวไม่ตรงกับความหมายในพระไตรปิฎกนัก ความหมายของคำว่า สมมุติในพระไตรปิฎกก็คือ ข้อตกลงที่จะให้เรียกกันเช่นนั้น

พูดง่ายก็คือ พูดง่ายๆ ว่า มี "สิ่ง" (thing) อยู่ ก็ต้องตั้งชื่อเรียกกัน เป็นความจำเป็นทางภาษาที่จะต้องตั้งชื่อหรือกำหนดให้ ไม่อย่างนั้นก็สื่อสารกันไม่ได้[2]

จะเห็นว่า คำว่า "สมมุติ" ในภาษาบาลีก็คือ การตั้งชื่อของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่า สิ่งใดจริงหรือไม่จริง

แต่พุทธวิชาการไปแปลตามคำว่า "ติ๊ต่าง" ของเด็กๆ  จึงพาพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เข้ารกเข้าพง เข้าอบายภูมิไปเป็นจำนวนมาก

ในพระไตรปิฎกของพุทธเถรวาท จึงมีคำเฉพาะ สมมติบัญญัติ กับ ปรมัตถบัญญัติเท่านั้น ไม่เคยมี สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ และไม่ใช่ว่า สมมติบัญญัติเป็นของไม่จริง ส่วนปรมัตถบัญญัติเป็นของจริง

ความแตกต่างระหว่างสมมติบัญญัติกับปรมัตถบัญญัติมีดังนี้

สมมุติบัญญัติ” คือ สิ่งที่อยู่ในภพสามทั้งหมด โปรดอย่าลืมว่า “สมมุติบัญญัติ” ความจำเป็นที่จะต้องตั้งชื่อเรียกกันเป็นหลักไว้ก่อน

สิ่งที่เป็นสมมุติบัญญัติทั้งหมดในศาสนาพุทธเถรวาทมีลักษณะประจำตัวอยู่คือ ยังเป็นสังขตธรรม ต้องมีปัจจัยปรุงแต่งอยู่  สิ่งไหนที่เป็นสังขตธรรม ก็ต้องตกอยู่ในไตรลักษณ์ด้วย คือ ต้องเป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตา

ปรมัตถบัญญัติมี 4 ประการคือ
1) จิต
2) เจตสิก
3) รูป
4) นิพพาน

ปรมัตถบัญญัติ นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้ คือ จิต เจตสิก รูปยังเป็นสังขตธรรม ยังคงถูกปัจจัยปรุงแต่งอยู่ ก็ต้องตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ ต้องเป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตา

ส่วนนิพพานนั้น เป็นอสังขตธรรมแล้ว พ้นเหตุแห่งปัจจัยปรุงแต่งแล้ว เป็นนิจจัง/สุขัง/อนัตตาแล้ว จะเห็นว่า สมมติบัญญัติกับปรมัตถบัญญัติไม่เกี่ยวกับความจริงหรือความไม่จริงแต่อย่างใด

โดยสรุปในด้านภาษาศาสตร์ พุทธวิชาการไม่เข้าใจหลักของภาษาศาสตร์ พุทธวิชาการจึงนำเอามโนทัศน์เรื่องสมมุติสัจจะ-ปรมัตถสัจจะเข้ามาใช้อย่างผิดพลาด

2) จากหลักการของตรรกวิทยา
คำอธิบายที่ว่า สมมุติสัจจะถ้าพิจารณาในแง่ของปรมัตถสัจจะแล้ว สมมุติสัจจะไม่จริงนั้นไม่สมเหตุสมผลในตัวคำอธิบายเอง

พิจารณาอย่างหยาบๆ เลย ก็เป็นว่า “สมมุติสัจจะ” ก็ควรจะพิจารณากันในแง่ของ “สมมุติสัจจะ” ทำไมจะต้องไปเอา “ปรมัตถสัจจะ”เข้ามาเป็นเกณณ์ในการพิจารณา

ขอให้ผู้อ่านลองเขียนวงกลมวงใหญ่ 1 วง ซึ่งกำหนดให้เป็นวงของ  สัจจะ

หลังจากนั้นก็เขียนวงกลมเล็กอีก 2 วง ให้อยู่ในวงกลมวงใหญ่นั้น และไม่ให้ทับซ้อนกัน วงหนึ่งเป็นของ “สมมุติสัจจะ” อีกวงหนึ่งเป็นของ “ปรมัตถสัจจะ

ที่เขียนเป็นวงกลม 2 วงไม่เกี่ยวข้องกันก็เพราะว่า ผู้ที่อธิบายข้อความข้างต้นนั้น มีหลักการว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ไม่เกี่ยวข้องกัน

เมื่อเป็นวงกลมคนละวงกัน หรือเป็นคำศัพท์คนละคำกัน มีสถานะและศักดิ์ศรีเท่ากัน ทำไมจะต้องเอา “ปรมัตถสัจจะ”มาเป็นตัวกำหนดว่า “สมมุติสัจจะ” จริงหรือไม่จริง

ขอยกตัวอย่างดังนี้ 
มีครอบครัวหนึ่งคือ นายแดง นางดำ มีลูกชื่อนายขาว  นายขาวโตขึ้นก็บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา  จนบรรลุพระอรหันต์เข้าสู่ขอบเขตของ “ปรมัตถสัจจะ”คือ เข้าขอบเขตของนิพพานแล้ว

ตรงนี้จะทำอย่างไร พระอรหันต์ขาวยังเป็นบุตรของนายแดง นางดำอยู่หรือปล่าว ซึ่งถ้าเชื่อตามพุทธวิชาการก็ต้องกล่าวว่า พระอรหันต์ขาวไม่ใช่เป็นบุตรของนายแดง นางดำแล้ว เพราะ เป็นเรื่องไม่จริง

พระอรหันต์ขาวก็ไม่ต้องทำบุญหรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับนายแดงกับ นางดำเลย เพราะ เป็นสภาวะของสมมุติสัจจะ ซึ่งไม่เป็นความจริง

แต่ปรากฏว่า ในพระสูตรมีข้อความเป็นจำนวนมาก ที่พระอรหันต์ต้องไปช่วยบิดามารดาของตนเอง  ไม่ใช่เฉพาะบิดาและมารดาในชาตินี้  แม้กระทั่งบิดาและมารดาในหลายๆ ชาติที่ผ่านมาแล้วก็ยังไปช่วยกันได้อยู่ ดังเช่นกรณีของพระสารีบุตร เป็นต้น

ในกรณีเช่นนี้ ถึงแม้บุคคลจะพัฒนาตนเองจนหลุดพ้นขอบเขตของ “สมมุติสัจจะ” ไปแล้ว “สมมุติสัจจะ” ก็ยังเป็นความจริงอยู่  แต่เป็นความจริงที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงตามหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเท่านั้นเอง

จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นว่า ข้อความที่ว่า สมมุติสัจจะถ้าพิจารณาในแง่ของปรมัตถสัจจะแล้ว สมมุติสัจจะไม่จริงนั้นไม่สมเหตุสมผลแต่ประการใด

ผู้เขียนหรือผู้กล่าวข้อความดังกล่าว ตกอยู่ในความครอบงำของศาสตร์ตะวันตก คิดว่าตายแล้วเกิดชาติเดียว นรก-สวรรค์ไม่มี การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี ก็พยายามที่จะอธิบายให้เข้ากับความเชื่อ/ความเห็นของตนเท่านั้น

------------------------------------
อ้างอิง
[2] ตรงนี้เป็นข้อควรระวังอย่างมากในการนำคำศัพท์ในศาสนาพุทธ ที่เรามาใช้กันในความหมายใหม่แล้ว แล้วกลับเข้าไปแปลข้อความของพระไตรปิฎกอีกครั้งหนึ่ง  อาจจะทำให้การตีความพระไตรปิฎกผิดเพี้ยนไปได้



สิ่งที่ “จริง” ทั้งหลาย

ในบทความ “สมมุติสัจจะ ปรมัตถ์สัจจะเป็นของนำเข้า” ผมได้อธิบายไปแล้วว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ” ไม่ใช่ของเรา  พุทธวิชาการนำเข้ามาจากที่อื่น

เมื่อนำเข้ามาแล้ว พุทธวิชาการจำนวนมาก นำคำทั้งสองคำข้างต้นมาอธิบายพระไตรปิฎก โดยทำราวกับว่า คำทั้งสองคำนั้นเป็น ความหมายที่มีอยู่ดั้งเดิมพุทธเถรวาท

แต่ความเป็นจริงแล้ว คำทั้งสองคำข้างต้น ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก และไม่จำเป็นจะต้องนำคำทั้งคู่เข้ามาอธิบาย เพราะ คำต่างๆ ในพระไตรปิฎก เช่น สังขตะ อสังขตะ สมมุติบัญญัติ ปรมัถตบัญญัติ สัจจะ อริยสัจ เป็นต้น ก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายว่า สัจจะในทางพุทธศาสนาเป็นเช่นไร

เมื่อในทางพุทธเถรวาทมีคำเพียงพอที่จะอธิบายเนื้อความของพระไตรปิฎกแล้ว ทำไมพุทธวิชาการจะต้องนำคำทั้งสองเข้ามาใช้ในการอธิบายพระไตรปิฎกด้วย?

เหตุผลหรือคำตอบก็มีง่ายๆ ก็เพื่อต้องการอธิบาย/ตีความให้เป็นไปตามความคิด/ความเชื่อของพุทธวิชาการ ที่หันไปสมาทานหรือเชื่อวิทยาศาสตร์ 

คำที่มีในพระไตรปิฎกไม่สามารถอธิบายให้คนเราเกิดมาเพียงชาติเดียวได้ ไม่สามารถอธิบายให้นิพพานเป็นอนัตตาหรือสูญหาย ไปได้ จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องนำศัพท์ใหม่เข้ามาช่วย

ในทางปรัชญาตะวันตกนั้น มีคำศัพท์ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ว่า จริงนั้นมีอยู่ 5 คำคือ
1) ข้อเท็จจริง (fact)
2) ความจริง (truth)
3) ความเป็นจริง (reality)
4) ความจริงขั้นสุดท้าย (ultimate truth)
5) ความเป็นจริงสูงสุด (ultimate reality)

ในทางศาสนาพุทธ คำศัพท์ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ว่า จริงนั้นมีคำเดียวคือ สัจจะ”  คำทั้ง 6 คำดังกล่าว มีความเป็นมา สถานภาพ และความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมื่อเปรียบเทียบคำที่เกี่ยวกับ จริงในปรัชญาตะวันตกกับความหมายหรือข้อความที่ตรงกันกับข้อความของพุทธเถรวาทมี 4 คำ คือ ข้อเท็จจริง (fact) ความจริง (truth) ความเป็นจริง (reality) และ ความเป็นจริงสูงสุด (ultimate reality) [1]

ส่วนคำว่า ความจริงขั้นสุดท้าย (ultimate truth) นั้น ไม่มีข้อความใดของพุทธเถรวาทตรงกับความหมายนี้ 

พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า  ปรมัตถสัจ, อันติมะสัจ หมายถึง ความจริงขั้นสุดท้าย เช่น พระเวทของฮินดู

ความจริงขั้นสุดท้าย (ultimate truth) นี้ มุ่งหมายไปที่ข้อความของภาษา ขอให้สังเกตความหมายของคำว่า truth ดังนั้น จึงหมายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ ของคัมภีร์

ความหมายของคำนี้ ไม่มีในศาสนาพุทธเพราะ ในพระไตรปิฎกนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรม พุทธศาสนิกชนเห็นว่า มีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากัน

ส่วนคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จำนวน 4 คัมภีร์นั้น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถือว่าคัมภีร์พระเวทมีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าคัมภีร์อื่น

ทำไม สมมุติบัญญัติ-ปรมัตถบัญญัติ จึงดูกลมกลืนกับศานาพุทธเถรวาท

คำว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ดูกลมกลืนกับศานาพุทธเถรวาทเป็นอย่างดี ก็เพราะ เรามีคำดั้งเดิมอยู่คือ สมมุติบัญญัติ-ปรมัตถบัญญัติ

พุทธวิชาการได้นำคำว่า “ปรมัตถสัจจะ”มาใช้แทนคำว่า ปรมัตถบัญญัติ  ปรมัตถบัญญัติของพุทธเถรวาทมี 4 ประการ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

ปรมัตถบัญญัติ 4 ประการนั้น  พุทธวิชาการอธิบายว่าเป็นปรมัตถสัจจะ

นอกจากนั้นแล้ว ความเชื่อดังเดิมของ “ปรมัตถสัจจะ”กับ “ปรมัตถสัจจะ”ก็เป็นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งก็น่าจะเข้ามาปะปนกับคำอธิบายของอรรถกถาจารย์ผู้เขียนอรรถกถาจำนวนมาก พุทธวิชาการที่ชอบอ่านอรรถกถาจึงคุ้นเคยกับคำคู่นี้พอสมควร

---------------------------
อ้างอิง
[1] ขอให้อ่านบทความเรื่อง ความจริงสัจจะกับ ความจริง-นิวตัน-ไอน์สไตน์-ธรรมกายในบล็อกของผู้เขียน