ถ้าเรื่องสมมุติไม่จริง ตามที่พุทธวิชาการยืนยัน เราก็ไม่มีทางที่จะพบเพื่อนได้
ขอยกตัวอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์สักนิด
กระสวยอวกาศ ยานอวกาศ หรือดาวเทียมต่างๆ นักวิทยาศาสตร์สามารถส่งขึ้นไปทำงานตามความต้องการได้ และกลับมายังโลกได้อย่างถูกต้อง ตรงกับเวลาที่กำหนดไว้
ถ้าเวลาอันเป็นของสมมุติ เป็นเรื่องไม่จริง ยานอวกาศก็จะไปไม่ถึงจุดหมายหรือกลับมาโลกไม่ได้แน่
ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งก็คือ ค่าของเงินในธนบัตร จะเห็นว่า ธนบัตรต่างๆ ขนาดกระดาษก็เท่าๆ กัน กระดาษก็เป็นชนิดเดียวกัน เมื่อกำหนดค่าโดยสมมุติให้ไปแล้ว กลับมีค่าที่แตกต่างกันไป
ธนบัตรใบละ 500 บาท กับธนบัตรใบละ 1000 บาท เมื่อนำไปซื้อสินค้าก็ได้ปริมาณและคุณค่าของสินค้าที่แตกต่างกันไป ถ้าเรื่องสมมุตินี้ไม่จริง เราจะใช้เงินไปซื้อของได้อย่างไร พ่อค้าแม่ค้ากับคนซื้อของคงทะเลาะกันตาย
โดยสรุป
คำว่า “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”นั้น ไม่จำเป็นจะต้องนำมาใช้อธิบายศาสนาพุทธเลย เพราะ เรามีคำเพียงพอที่จะอธิบายแล้ว มีคำคู่นี้เข้ามา สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับศาสนาพุทธมากกว่าที่จะสร้างประโยชน์
การที่พุทธวิชาการนำเข้ามาเพราะต้องการจะอธิบายให้ศาสนาพุทธมีเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน อันเป็นความเชื่อส่วนตน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
“สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ส่งผลยังไง
ผลเสียของคำอธิบายประเด็นที่เกี่ยวกับ “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”ของพุทธวิชาการส่งผลเสียได้หลายระดับ ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม
คำอธิบายของพุทธวิชาการกลุ่มนี้ ทำให้คนไทยที่ได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียน เข้าใจผิดไปว่า กรรมไม่มีจริง กรรมไม่สามารถส่งผลได้จริง นรก สวรรค์ไม่มีจริง
คนที่เชื่อเรื่องทำนองนี้ เป็นคนโง่ ไม่มีเหตุผล นอกจากสร้างความแตกแยกทางด้านความคิดให้กับคนในสังคมแล้ว นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ โกงกินกันอย่างไม่กลัวบาปกรรม
จนประเทศไทยติดอันดับ ประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นระดับต้นของโลก ก็เพราะ คำอธิบายของพุทธวิชาการพวกนี้นี่แหละ
ระบบคุณธรรม/จริยธรรม/ศีลธรรมของสังคมไทย คนชั้นกลางที่ได้รับการศึกษาจากระบบโรงเรียนไม่มีใครปฏิบัติ รู้ไว้เพียงเพื่อประดับความรู้ เพราะ คำอธิบายของพุทธวิชาการดังกล่าวได้ทำลายรากฐานระบบคุณธรรม/จริยธรรม/ศีลธรรมของสังคมไทยลงไป โดยพุทธวิชาการคิดว่า ระบบคุณธรรม/จริยธรรมของสังคมตะวันตกจะเข้ามาทดแทนได้
แต่คนไทย ก็คือ คนไทย ระบบคุณธรรม/จริยธรรมแบบสังคมตะวันตก ไม่เหมาะสมกับคนไทย ไม่สามารถทำให้คนไทยเป็นคนดีของสังคมได้ จะเห็นได้ว่า สังคมไทยมีการสั่งสอนคุณธรรม/จริยธรรมแทบทุกอณูของวัฒนธรรม
เพลงก็มี หนังสือเรียนก็มี รายการโทรทัศน์ก็มี ลิเก ลำตัด ฯลฯ ก็มี แต่ระบบคุณธรรม/จริยธรรมของคนไทยยุคใหม่ก็ไม่ได้ดีขึ้น จนกระทั่งรัฐบาลถึงกับต้องตั้งศูนย์คุณธรรม (Moral center) ขึ้นมา
ที่น่าตกใจมากก็คือ ถ้าความเข้าใจดังกล่าวนั้น จำกัดอยู่ในขอบเขตเฉพาะของพุทธวิชาการก็ยังจะพอรับกันได้ เพราะ พุทธวิชาการส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติธรรมกันอยู่แล้ว แต่ความเข้าใจผิดดังกล่าวนั้น แทรกซ้อนเข้ามาทำให้สายปฏิบัติธรรม 2 สาย คือ สายพอง-ยุบกับสายนาม-รูป ตีความศาสนาพุทธผิดไปด้วย
สายพอง-ยุบกับสายนาม-รูป ซึ่งมีต้นสายมาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระภิกษุชาวพม่า จะอธิบายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในภพสามนี้ไม่จริงทั้งหมด เพราะ เป็นสมมุติบัญญัติ/สมมุติสัจจะ แต่ จิต เจตสิก รูป นิพพานเป็นจริง เพราะ เป็นปรมัตถบัญญัติ/ปรมัตถสัจจะ
มีความเข้าใจผิดเท่านั้น ยังไม่พอ ถึงกับไปดูถูกสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ ว่า เป็นแค่สมถกรรมฐาน การปฏิบัติธรรมของพระพม่าเป็นวิปัสสนา ดีเลิศประเสริฐศรีที่สุด
เมื่อคิดวิธีปฏิบัติธรรมแบบใหม่ขึ้นมาได้ คือ การพิจารณาความเป็นไปของรูปและจิตในปัจจุบัน จากอาการพองยุบของท้องที่เกิดจากลมหายใจ แล้วถูกโจมตีจากพระภิกษุชาวพม่าด้วยกัน จึงจับยัดเข้าไปว่า การปฏิบัติธรรมที่ท่านคิดขึ้นนั้นเป็นสติปัฏฐาน 4 และเป็นวิปัสสนากรรมฐาน
ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ การพิจารณาความเป็นไปของรูปและจิตในปัจจุบัน จากอาการพองยุบของท้องที่เกิดจากลมหายใจ รวมถึงการเดินจงกรมสามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้
ในความเป็นจริงแล้ว การพิจารณาความเป็นไปของรูปและจิตในปัจจุบัน จากอาการพองยุบของท้องที่เกิดจากลมหายใจ รวมถึงการเดินจงกรมเป็นสติปัฏฐาน 4 นั้นเป็นความจริงที่ยอมรับได้ แต่การปฏิบัติธรรมเช่นนั้นไม่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เป็นแต่เพียงสมถกรรมฐานแบบใหม่ที่คิดขึ้นเท่านั้น
ประการสำคัญก็คือ การปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้
ผลเสียที่ร้ายแรงก็คือ คนที่ไปหลงเชื่อศรัทธา แทนที่จะทำความดีและปฏิบัติธรรมได้มากกว่านั้น เท่าที่เกิดมายุคหนึ่ง ก็ไม่ได้ความดีที่ควรจะเป็น
ความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ ไปเชื่ออะไรกับพระพม่า ไปเชื่ออะไรกับของนำเข้า พระภิกษุชาวไทยมีตั้งมากมาย ทำไมไม่เชื่อ...........
เราจะทำอย่างไรดีกับมโนทัศน์ “สมมุติสัจจะ” กับ “ปรมัตถสัจจะ”
ผมมีข้อแนะนำดังนี้
1) ก็อย่าไปเชื่อ เพราะ ไม่ใช่คำดั้งเดิมของพุทธเถรวาท คำดั้งเดิมของพุทธเถรวาทเรา เช่น เช่น สมมุติบัญญัติ-ปรมัตถบัญญัติ สังขตธรรม-อสังขตธรรม สังขตธาตุ-อสังขตธาตุ วิราคธาตุ-วิราคธรรม โลกียะ-โลกุตระ อริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท ฯลฯ เป็นต้น ก็เพียงพอแล้ว ในการสั่งสอนพุทธศาสนิกชน
ไม่เห็นจำเป็นอะไรที่จะต้องนำคำว่า สมมุติสัจจะ-ปรมัตถสัจจะเข้ามาอธิบายศาสนพุทธเถรวาทอีก ก็อ่านไปเล่นๆ เพื่อความประเทืองปัญญาว่า คนคิดผิดแบบนี้ก็มี
2) ถ้าต้องการจะเชื่อ หรือเห็นว่า การนำเอาคำขององค์ความรู้อื่นๆ มาอธิบายและตีความศาสนาพุทธเถรวาทบ้าง อาจจะทำให้องค์ความรู้ของพุทธเราแตกฉานขึ้นไปอีก ก็ควรใช้ให้ถูกหลักเกณฑ์ตามหลักภาษาศาสตร์ ไม่ใช่อธิบายให้ผิดเพี้ยนไปตามความเชื่อของตน
โดยสรุป
จากที่เขียนมาทั้งหมด จะเห็นว่า “สมมุติสัจจะ” กับ“ปรมัตถสัจจะ”ไม่ใช่คำดั้งเดิมในศาสนาพุทธเถรวาท คำดั้งเดิมของพุทธเถรวาทคือ สมมุติบัญญัติ-ปรมัตถบัญญัติ ซึ่งก็เป็นจริงทั้งคู่ ไม่ใช่ว่า สมมุติบัญญัติไม่จริง แต่ปรมัตถบัญญัติเป็นจริง
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มโนทัศน์เรื่อง “สมมุติสัจจะ” กับ“ปรมัตถสัจจะ”ไม่มีในพระไตรปิฎก เถรวาท พุทธวิชาการนำเข้ามาเพื่ออธิบายศาสนาพุทธให้เป็นวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก ซึ่งถูกโค่นไปเรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งแล้วโดยฟิสิกส์ใหม่..